0-5551-8200-22, 1249

222, Mae Pa, Mae Sot District, Tak 63110

Exercise Stress Test

 

การตรวจ Exercise Stress Test คือ วิธีการทดสอบสมรรถภาพของหัวใจ โดยให้ผู้ป่วยออกกำลังกายต่าง ๆ เช่น วิ่งบนลู่วิ่ง หรือการตรวจวิ่งสายพาน และปั่นจักรยาน วิธีดังกล่าวจะเป็นการสร้างแรงเค้นต่อกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อตรวจสอบว่า ขณะที่ร่างกายกำลังออกกำลังอย่างหนักนั้นหัวใจมีภาวะขาดเลือดหรือไม่ เพราะขณะออกกำลังหัวใจจะต้องการเลือดและออกซิเจนมาหล่อเลี้ยง หากมีเลือดและออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอจะส่งผลให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก ความดันเลือดลดลง และหัวใจเต้นผิดปกติ โดยเครื่อง EST แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ แบบสายพานไฟฟ้า (Treadmill) สามารถปรับตั้งโปรแกรมการทดสอบได้หลากหลายกว่า โดยสามารถปรับได้ทั้งความเร็วและความชันของสายพานวิ่ง และที่เป็นแบบแบบจักรยาน (Bicycle ergometer) เครื่องมือนี้จะมีราคาถูกกว่า กินเนื้อที่ในการติดตั้งน้อยกว่า และยังใช้ได้ดีในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเดินกับการทรงตัวอีกด้วย

ขั้นตอนการตรวจ

จะให้ผู้ป่วยวิ่งบนสายพานโดยติดเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มความเร็วและความชันของสายพานขึ้น ในระหว่างที่ให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอยู่นั้นจะมีการวัดความดันเป็นระยะ ๆ หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจขาดเลือดจะมีผลทำให้คลื่นไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไป

ประโยชน์ของการตรวจ

    • ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเพื่อประเมินสมรรถภาพทางร่างกายและประเมินค่าการตอบสนองของผู้ป่วยหลังการรักษา
    • เพื่อหาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะที่มักจะแสดงออกมาขณะที่ผู้ป่วยกำลังออกกำลังกาย
    • การตรวจ EST มีความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจได้ดี
    • เพื่อทดสอบผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
    • ใช้ตรวจสอบผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจว่ามีโรคสำคัญอื่นแทรกซ้อนหรือไม่ เพราะในสภาวะปกติผู้ป่วยจะไม่ได้ออกแรงมากนักจึงไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมา

การเตรียมตัวก่อนการตรวจ

    • งดน้ำและอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนการทดสอบ
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
    • สวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย หรือรองเท้าที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย
    • ควรงดยากลุ่มที่ทำให้หัวใจเต้นช้า เช่น ยากลุ่ม Beta-blockers เพราะส่งผลต่อการตรวจ EST
    • ควรงดยากลุ่มที่รักษากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ยกเว้นกรณีทำการทดสอบเพื่อดูผลการรักษาและการพยากรณ์โรค

ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจ

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่ไม่แสดงอาการผิดปกติ เช่น ผู้สูบบุหรี่จัด, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง, ผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

แพทย์ประจำโปรแกรม